สอนโดยครูการุณย์ สุวรรณรักษา
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่องความปรองดอง สมานฉันท์
เนื้อหา
1.การแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธี
-การเจรจาไกล่เกลี่ย
-การเจรจาต่อรอง
-การระงับความขัดแย้ง
2.การสร้างเครือข่าย การป้องกันปัญหาความขัดแย้ง
ผลการเรียนรู้
1.มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาเมื่อเกิดความขัดแย้งโดยสันติวิธี
2. สร้างเครือข่ายการป้องกันปัญหาความขัดแย้ง
กิจกรรมหรือภาระงานที่นักเรียนต้องปฏิบัติ
1.ถ่ายภาพอิริยาบทที่เกี่ยวกับความมีน้ำใจของนักเรียน อย่างน้อย 2 กิจกรรม ส่งภาพทาง Facebook (พร้อมกับข้อ 2)
2. นำเสนอวิธีการแก้ปัญหาความขัดแย้งใน
-ครอบครัว
-โรงเรียน
-สังคมทั่วไป
โดยเขียนลงกระดาษขนาด A4 แล้วใช้มือถือถ่ายเป็นรูปภาพ ส่งทาง facebook ให้ตรงกับห้องของตนเอง (facebook ชื่อหน้าที่ พลเมือง)
-ครอบครัว
-โรงเรียน
-สังคมทั่วไป
โดยเขียนลงกระดาษขนาด A4 แล้วใช้มือถือถ่ายเป็นรูปภาพ ส่งทาง facebook ให้ตรงกับห้องของตนเอง (facebook ชื่อหน้าที่ พลเมือง)
3. เชิญชวนให้เพืื่อนเข้าร่วมเครือข่าย โดยการแสดงความคิดเห็นในภาพที่นำเสนอ อย่างน้อยคนละ 10 ความคิดเห็น
--------------------------------------------------------------------------------------------------
เนื้อหาสาระ
1. การเจรจาไกล่เกลี่ย
การเจรจาไกล่เกลี่ย
การเจรจาไกล่เกลี่ย คือกระบวนการแก้ปัญหาระหว่างบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป
ต้องสมัครใจมาเจรจาในเรื่องของความแตกต่าง เพื่อพยายามที่จะนำไปสู่การ ตัดสินใจร่วมกัน
(ไม่ใช่การต่อของ)
หลักของการเจรจา ระหว่างจุดสนใจ กับ จุดยืน
จุดสนใจหรือความต้องการ คือ
สิ่งที่กลุ่มต้องการ หรือ มีความจำเป็นต้องได้จริง ๆ จากการเจรจา
จุดสนใจหรือความต้องการ คือ
ความจำเป็น ความหวัง ความกลัว ความห่วงกังวล ความปรารถนาที่อยู่เบื้องหลังจุดยืน
จุดยืน คือ
ทางออกที่เหมาะสมของข้อพิพาทในสายตาของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
จุดยืน คือ
ทางแก้ไขปัญหาการเจรจาไกล่เกลี่ย มีความแตกต่างจากการไกล่เกลี่ยคนกลางอย่างชัดเจน กล่าวคือการเจรจาไกล่เกลี่ยเป็นการที่คู่กรณีพูดคุยเพื่อหาข้อตกลงหรือยุติ ปัญหาด้วยกันเองโดยไม่ต้องพึ่งพิงบุคคลที่สาม
ในขณะที่การไกล่เกลี่ยคนกลาง เป็นกระบวนการที่บุคคลที่สามเข้ามาช่วยกำกับกระบวนการและกระตุ้นให้คู่กรณี ตัดสินใจหาข้อตกลงร่วมกัน เบอร์นาร์ด เมเยอร์ ผู้สอนและผู้ไกล่เกลี่ยที่มากด้วยประสบการณ์จาก CDR Associates ซึ่งเป็นองค์กรด้านการจัดการความขัดแย้งที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เห็นว่าการเจรจาไกล่เกลี่ย (negotiation) เป็นวิธีการที่คู่กรณีมักเลือกใช้ในการจัดการปัญหาเป็นอันดับแรก นอกเสียจากว่าปัญหามีระดับที่รุนแรงมากขึ้นจนควบคุมได้ยาก คู่กรณีจึงจะเลือกใช้วิธีการไกล่เกลี่ยคนกลาง (mediation) ด้วยการแสวงหาความช่วยเหลือจากภายนอกหรือบุคคลที่สาม (เมเยอร์,2553)
2. การเจรจาต่อรอง
การเจรจาต่อรอง ( Negotiation) หมายถึง การใช้ความสามารถเกลี้ยกล่อมบุคคลที่เรามุ่งจะได้บางสิ่งบางอย่างจากเขา ให้ยอมให้บางสิ่งบางอย่างนั้นแก่เรามากที่สุด โดยความสมัครใจ
หลักการ
การเจรจาต่อรอง มีหลักการที่สำคัญ 3 ประการคือ
1. เพื่อให้บรรลุเป้าหมายหลักการที่ต้องการ
2. เสียผลประโยชน์ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
3. ทำให้อีกทุกฝ่ายรู้สึกพึงพอใจกับผลการเจรจา
รูปแบบของการเจรจา( Smeltzer,1991)
1. การเจรจาแบบร่วมมือกัน(Cooperative negotiation)คือการเจรจาในลักษณะที่ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ร่วมกัน
2. การเจรจาแบบแข่งขัน (Competitive negotiation) คือการเจรจาในลักษณะที่ได้รับประโยชน์เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
กลยุทธ์ในการเจรจาต่อรอง
กลยุทธ์ในการเจรจาต่อรอง แบ่งตามกระบวนการได้ดังนี้
1. ก่อนการเจรจา (Prior to Negotiation) ก่อนที่จะเปิดการเจรจาผู้เจรจาจะต้องเตรียมพร้อมในด้านต่อไปนี้
1.1 เก็บรวบรวมข้อมูล
1.2 ตั้งจุดประสงค์หรือเป้าหมาย
1.3 มีการวางแผนการใช้กลยุทธ์
1.4 เลือกสถานที่เพื่อเปิดการเจรจา
2. ระหว่างการเจรจา (During the Negotiation) กลยุทธ์ที่ใช้เพื่อให้การเจรจาประสบความสำเร็จได้แก่
2.1 การยั่วยุให้โกรธ
2.2 การสร้างความคลุมเครือ
2.3 การหาจุดอ่อนแอของคู่เจรจา
2.4 การให้สิ่งล่อใจ
2.5 การพูดยกยอ
2.6 การใช้ความได้เปรียบทางเพศ
2.7 การแสดงความอ่อนแอและต้องการความช่วยเหลือ
2.8 การทำให้รู้สึกผิด
2.9 การตีกรอบความคิดของคู่เจรจา
2.10 การตีกั้นตนเอง
2.11 การทำให้คู่เจรจาคล้อยตาม
2.12 การให้รางวัล
2.13 การอาศัยความมีอำนาจ
2.14 การใช้ความสงบเยือกเย็น
ข้อควรปฏิบัติในระหว่างการเจรจา
1. ใช้ข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้จริงในระหว่างการเจรจาในการตัดสินใจ
2. ตั้งใจฟังและสังเกตลักษณะท่าทางของคู่เจรจา
3. ต้องเปิดใจให้กว้างไม่มีอคติ
4. คำถามที่ใช้ควรเป็นคำถามปลายเปิด
5. เจรจาเฉพาะประเด็นปัญหา
6. ไม่กล่าวหาหรือตำหนิใครในปัญหาที่เกิดขึ้น
7. มีความซื่อสัตย์และอดทน
8. พยายามหาจุดต่ำสุดที่จะยอมรับได้ของคู่เจรจา
9. ไม่รีบร้อนเจรจาในเรื่องที่ไม่ได้เตรียมตัวมา
10.ไม่ควรแสดงให้เห็นว่าอยากเจรจาเต็มที่
11. พยายามควบคุมอารมณ์ระหว่างการเจรจา
12. พยายามหาทางออกที่ดีให้กับทุกฝ่าย
3. ปิดการเจรจา (Closure to Negotiation)
การปิดการเจรจาเป็นขั้นตอนที่สำคัญเช่นเดียวกับการเปิดการเจรจาซึ่งผู้เจรจา ที่ดีควรรู้เวลาที่สมควรปิดการเจรจาโดยสังเกตพฤติกรรมของคู่เจรจา ได้แก่ การถอนหายใจ แสดงสีหน้าโล่งอก ปิดแฟ้มแล้วเงยหน้าขึ้นมองดูผู้พูด และคำพูดหรือคำถามบางคำเช่น “คุณคิดว่าจะส่งของมาเมื่อใด” เป็นต้น
เกณฑ์ในการประเมินความสำเร็จ(Calcro,1979) มีดังนี้
1. มีความคืบหน้าหรือความก้าวหน้าเพิ่มมากขึ้น
2. รู้สึกว่าตนเองไม่ได้เสียประโยชน์
3. มีความรู้สึกที่ดีต่อกัน
4. ได้ตอบสนองความต้องการของอีกฝ่ายหนึ่ง
5. บรรลุวัตถุประสงค์หลักของทั้ง 2 ฝ่าย
6. มีความเต็มใจที่จะเจรจาร่วมกันอีก
การเจรจาต่อรองร่วม
เป็นรูปแบบหนึ่งของการการเจรจา เกิดจากการรวมตัวกันเป็นกลุ่มของลูกจ้างหรือผู้ปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มอำนาจหรืออิทธิพลต่อนายจ้าง ในการที่จะเรียกร้องเกี่ยวกับเงื่อนไขในการทำงาน โดยผลของการเจรจามีจุดประสงค์ให้ได้ข้อตกลงที่ทั้ง 2 ฝ่ายพอใจ
ประเด็นที่จำนำไปสู่การเจรจาต่อรอง
ส่วนใหญ่ลูกจ้างจะเป็นฝ่ายเสนอความต้องการของตนไปยังนายจ้าง ว่าฝ่ายลูกจ้างต้องการจะเรียกร้องในเรื่องใด มีน้อยครั้งที่นายจ้างจะเป็นฝ่ายเสนอลูกจ้าง ประเด็นที่สำคัญได้แก่
1. ค่าจ้างและสวัสดิการ ค่าจ้างถือว่าเป็นหัวใจของการเกิดการเจรจาต่อรองร่วม ในทุกวิชาชีพ ส่วนสวัสดิการเป็นผลตอบแทนที่ให้กับผู้ปฏิบัติงานนอกเหนือจากค่าจ้าง ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งในรูปของเงิน สิ่งของ บริการ สวัสดิการด้านอื่นๆ
2. การไม่ได้รับความเป็นธรรม เป็นความเครียดที่เกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติงานจากการใช้อำนาจในการบริหารของนายจ้าง
3. การคงไว้ซึ่งความเป็นวิชาชีพ เกิดจากการเหลื่อมล้ำในบทบาทหน้าที่ และทำให้พยาบาลต้องรับผิดชอบการงานอื่นๆที่ไม่ใช่บทบาทของตนเอง
ขั้นตอนในการเจรจาต่อรองร่วม
1. การรวมตัวกันเป็นกลุ่ม
2. การจัดตั้งสมัชชากลุ่ม
3. เลือกตัวแทนที่จะทำหน้าที่ในการเจรจา
4. เจรจาต่อรองเพื่อหาข้อตกลง
วิธีการจัดการเมื่อการเจรจาตกลงกันไม่ได้
1. การไกล่เกลี่ยโดยมีตัวแทนทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
2. การชี้แจงข้อเท็จจริงต่อคณะกรรมการ
3. การตัดสินชี้ขาดโดยอนุญาโตตุลาการ
4. การนัดหยุดงานเพื่อนำไปสู่การเจรจาต่อรอง
5. การลงสัตยาบันยอมรับข้อตกลง
วิธีของผู้บริหารในการป้องกันการรวมกลุ่ม
ผู้บริหารสามารถดำเนินการเพื่อป้องกันการรวมกลุ่มของผู้ปฏิบัติงานได้ 2 วิธี ดังนี้ (Ruth,MT,1989)
1.วิธีการเชิงสร้างสรรค์
1.1เปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
1.2ปฏิบัติต่อผู้ปฏิบัติงานให้เหมาะสมกับความเป็นวิชาชีพ
1.3 ให้ค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับระดับความรับผิดชอบ
1.4 พัฒนาวิธีจัดการกับปัญหาหรือข้อข้องใจที่เกิดขึ้นในการทำงาน
1.5สำรวจความคิดเห็นของผู้ปฏิบัติงานอย่างสม่ำเสมอ
2. วิธีการเชิงรุก
2.1ปรับอัตราเงินเดือนและค่าตอบแทนต่างๆ
2.2 ควบคุมการติดต่อสื่อสารในหน่วยงาน
2.3 เจรจาเป็นรายบุคคล
2.4 ห้ามการปราศรัยในหน่วยงาน
ข้อมูลจาก https://www.gotoknow.org/
3. การระงับข้อขัดแย้ง
การจัดการกับความขัดแย้งตามแบบของ Johnson & Johnson มี 5 วิธี โดยเปรียบเทียบแต่ละวิธีกับสัตว์ 5 ชนิด คือ เต่า ฉลาม หมี ตุ๊กตา หมาจิ้งจอก และ นกฮูก ดังนี้
1. เต่า (การหลีกเลี่ยงถอยหนี) ธรรมชาติของเต่า คือ เมื่อมีภัยจะหดตัวหดหัวอยู่ในกระดอง เมื่อปลอดภัยแล้วจะยืดออกมา เต่าจะไม่สนใจเป้าหมายของงาน และไม่สนใจความสัมพันธ์ของบุคคล เราเรียกวิธีการจัดการความขัดแย้งนี้ว่า “การถอยหนี” คือ ทั้งเป้าหมายความสำเร็จในการทำงานและคนไม่สำคัญ
2. ฉลาม (การใช้อำนาจบังคับ) ธรรมชาติของฉลามเป็นสัตว์ที่ดุร้ายพละกำลังมาก กินทุกอย่างที่ขวางหน้า เมื่อต่อสู้ก็จะเป็นฝ่ายชนะ การ
บริหารในวิธีนี้จะใช้อำนาจที่เหนือกว่าเข้าบังคับโดยไม่คำนึงถึงเป้าหมายของ
ผู้อื่น เพราะถือว่า การชนะคือความสำเร็จ ส่วนการผ่ายแพ้ นั้นคือ
ความอ่อนแอ เรียกวิธีนี้ว่า “การใช้อำนาจ” คือ เป้าหมายความสำเร็จในการทำงานสำคัญกว่า แต่คนไม่สำคัญ ไม่สนใจความรู้สึกของผู้อื่น
3. หมีตุ๊กตา (การใช้ความนุ่มนวล) หมี
มีความเชื่อว่า ความขัดแย้งนั้นเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
ไม่ควรให้ความขัดแย้งมาทำลายความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
หมีพร้อมที่จะยกเลิกเป้าหมายของตน
ถ้าเป้าหมายนั้นไปทำลายความสัมพันธ์กับคนอื่น เรียกวิธีนี้ว่า“การใช้ความนุ่มนวล” คือ ให้ความสำคัญในเรื่องคน แต่เป้าหมายเรื่องงานไม่สำคัญ
4. หมาจิ้งจอก (การประนีประนอม) หมา
จิ้งจอกจะให้ความสำคัญกับเป้าหมายของงาน เท่า ๆ กับความสัมพันธ์กับผู้อื่น
ซึ่งเป็นทางสายกลางของการประนีประนอม พร้อมที่จะยกเลิกเป้าหมายของตน
และเกลี่ยกล่อมให้คนอื่นยกเลิกเป้าหมายของเขาด้วย เรียกวิธีนี้ว่า “การประนีประนอม” คือ เป้าหมายและคนสำคัญปานกลาง
5. นกฮูก (การแก้ปัญหาร่วมกัน) นกฮูกมีความเชื่อว่า ความขัดแย้งคือปัญหาที่ทุกฝ่ายต้องร่วมแก้ไข ทำให้เป้าหมายของตนและผู้อื่นสัมฤทธิ์ผล เรียกวิธีนี้ว่า
“การแก้ปัญหาร่วมกัน” คือ ทั้งเป้าหมายและคนสำคัญเท่ากัน
ที่มา : http://www.bloggang.com และ http://www.oknation.net/blog/print.php?id=748750
1. การจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี
1. การจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี
2. การสร้างเครือข่ายเพื่อป้องกันความขัดแย้ง
ศึกษาเพิ่มเติมได้ด้านล่างนี้ครับ
อธิบายคำ
ปรองดอง หมายถึง
ออมชอม,ประนีประนอม,ยอมกัน,ไม่แก่งแย่งกัน,กลมกลืน,สมัครสมาน,ลงรอย
ตัวอย่างประโยค พี่น้องคู่นี้ปรองดองกันดีนะ
สมานฉันท์ หมายถึง
ความพอใจร่วมกัน ความเห็นพ้องกัน เช่น มีความเห็นเป็นสมานฉันท์
1. การอยู่ร่วมกันในสังคม
การอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุขนั้น สมาชิกในสังคมจะต้่องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันในด้านต่างๆ เช่นการพึ่งพาอาศัยให้ความช่วยเหลือกัน มีความสามัคคีและร่วมมือกันพัฒนาสังคมให้่เจริญก้าวหน้า สังคมก็จะน่าอยู่สมาชิกในสังคมก็มีความสงบสุข
ข้อปฏิบัติในการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
- มีความรับผิดชอบ
- มีระเบียบวินัย
- มีความซื่อสัตย์
- มีความสามัคคี
- มีความเสียสละ
มารยาทในสังคม
- รู้จักการวางตน
- รู้จักการประมาณตน
- รู้จักการพูดจา
- รู้จักการควบคุมอารมณ์
- ความมีน้ำใจไมตรี
ลักษณะของการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในสังคม
- สมาชิกในสังคมร่วมมือกันทำกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมที่อาศัยอยู่
- สมาชิกในสังคมประกอบอาชีพที่สุจริต
- สมาชิกในสังคมมีน้ำใจ รักใคร่สนิทสนมกัน
- สมาชิกในสังคมมีคุณธรรม จริยธรรม
ที่มา http://www.trueplookpanya.com/new/cms_detail/knowledge/26454-038903/
ศิลปะการอยู่ร่วมกัน
มนุษย์เป็นสัตว์สังคมอยู่กันเป็นกลุ่ม เป็นเผ่า เป็นชนชาติ
ต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอยู่ตลอดเวลาทั้งทางกาย วาจา และใจ
ถ้าหากไม่สามารถจะบริหารความสัมพันธ์กันได้แล้ว
ความสงบสุขในการอยู่ร่วมกันก็ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้
ถึงแม้ว่าทุกคนต่างก็มีข้อบกพร่องอยู่ก็ตามแต่ถ้าหากรู้จักหลักการหรือศิลปะ
ในการอยู่ร่วมกัน พร้อมทั้งได้ปฏิบัติตามหลักการนั้นแล้ว
ก็จะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขรักใคร่ปรองดองสามัคคีพร้อมเพรียง
กัน ไม่มีการกระทบกระทั่งหรือบาดหมางใจกัน
ยังผลให้จิตใจสงบสบายไม่ขุ่นมัวสามารถรักษาใจให้อยู่กับความสงบสุขได้อย่าง
ต่อเนื่องตลอดทั้งวันอย่างแน่นอน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงหลักแห่งการอยู่ร่วมกันไว้ดังนี้
๑. หลักแห่งการอยู่ร่วมกัน (สาราณียธรรม)
๑.๑ เมตตากายกรรม ช่วยเหลือกิจธุระของผู้ร่วมหมู่คณะ ด้วยความเต็มใจเคารพนับถือกัน ยิ้มแย้มแจ่มใส
๑.๒ เมตตาวจีกรรม ช่วยบอกแจ้งสิ่งที่เป็นประโยชน์ สั่งสอน แนะนำ ตักเตือน ด้วยความหวังดี ทักทายไถ่ถาม สาระทุกข์สุขดิบ
๑.๓ เมตตามโนกรรม ตั้งจิตปรารถนาดี คิดทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่กัน มองกัน ในแง่ดีไม่เพ่งโทษกัน แผ่เมตตาจิตระลึกถึงกันยามห่างไกล
๑.๔. สาธารณโภคี ได้ของมาโดยชอบธรรมแบ่งปันให้ได้ใช้สอยบริโภคทั่วกัน
๑.๕ สีลสามัญญตา มีศีลบริสุทธิ์เสมอกัน ไม่ทำตนให้เป็นที่น่ารังเกียจของหมู่คณะ
๑.๖ ทิฏฐิสามัญญตา มีทิฎฐิดีงามเสมอกัน มีความเห็นชอบร่วมกันในข้อที่เป็น หลักการสำคัญที่จะขจัดปัญหา นำไปสู่ความหลุดพ้นสิ้นทุกข์
๒. หลักแห่งการสงเคราะห์กัน (สังคหวัตถุ๔)
๒.๑ ทาน คือการให้ความรู้ หรือให้สิ่งของ เป็นการแสดงน้ำใจด้วย การให้สิ่งของ
๒.๒ ปิยวาจา คือมีวาจาอันเป็นที่รัก เช่น แนะนำประโยชน์ให้กำลังใจให้ เกิดความร่วมมือร่วมใจกัน
๒.๓ อัตถจริยา คือ
ช่วยเหลือกันในกิจกรรมต่าง ๆ ไม่นิ่งดูดาย ไม่หวัง ค่าจ้าง
แต่ทำด้วยใจสร้างความคุ้นเคยกัน เคียงบ่า
เคียงไหล่ในการทำงานและกิจกรรมต่าง ๆ
๒.๔ สมานัตตตา คือ
เสมอต้นเสมอปลายทำตัวให้เข้ากับเขาได้ ให้ความปลอดภัยและความสบายใจ
เคารพกติกากฏระเบียบของ หมู่คณะ วางตัวให้เหมาะสมกับภาวะของตนในบุคคลนั้นๆ
ต้องรู้และเข้าใจบทบาทของตนเอง และปฏิับัติถูกต้องตาม บมบาทของตนเอง

ประโยชน์ของมารยาท มีดังนี้
๑. ป้องกันการกระทบกระทั่ง
๒. ปิดบังความไม่งามของร่างกาย
๓. เป็นที่จำเริญตา จำเริญใจแก่บุคคลรอบข้าง
๔.ฝึกการเป็นคนรู้จักประมาณ และความพอดี
๕. ฝึกการสังเกต ทำให้เป็นคนละเอียดรอบคอบ
๖. ฝึกให้เป็นผู้มีศิลปะและมีความประณีต
๗. ฝึกความมีน้ำใจ รู้จักจับแง่คิดมุมมองที่ดี
๙. สามารถรักษาใจได้ต่อเนื่อง เกื้อหนุนต่อการปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้ายิ่ง ๆขึ้นไป
ที่มา http://www.kalyanamitra.org/th/Buddhist_culture_detail.php?page=78
2. การจัดการความขัดแย้งและสันติวิธี (คลิกที่นี่)
3. กิจกรรมที่นักเรียนจะต้องปฏิบัติ 3 ข้อ ดังนี้
2. การจัดการความขัดแย้งและสันติวิธี (คลิกที่นี่)
3. กิจกรรมที่นักเรียนจะต้องปฏิบัติ 3 ข้อ ดังนี้
1.ถ่ายภาพอิริยาบทที่เกี่ยวกับความมีน้ำใจของนักเรียน อย่างน้อย 2 กิจกรรม ส่งภาพทาง Facebook (พร้อมกับข้อ 2)
2. นำเสนอวิธีการแก้ปัญหาความขัดแย้งใน
-ครอบครัว
-โรงเรียน
-สังคมทั่วไป
โดยเขียนลงกระดาษขนาด A4 แล้วใช้มือถือถ่ายเป็นรูปภาพ ส่งทาง facebook ให้ตรงกับห้องของตนเอง (facebook ชื่อหน้าที่ พลเมือง)
-ครอบครัว
-โรงเรียน
-สังคมทั่วไป
โดยเขียนลงกระดาษขนาด A4 แล้วใช้มือถือถ่ายเป็นรูปภาพ ส่งทาง facebook ให้ตรงกับห้องของตนเอง (facebook ชื่อหน้าที่ พลเมือง)
3. เชิญชวนให้เพืื่อนเข้าร่วมเครือข่าย โดยการแสดงความคิดเห็นในภาพที่นำเสนอ อย่างน้อยคนละ 10 ความคิดเห็น
สวัสดีฉัน aM clinton nancy หลังจากที่ได้มีความสัมพันธ์กับแอนเดอร์สันมานานหลายปีแล้วเขาเลิกกับฉันฉันทำทุกอย่างเพื่อให้เขากลับมาได้ แต่ทั้งหมดก็ไร้ผลฉันต้องการให้เขากลับมามากเพราะความรักที่ฉันมีต่อเขา, ฉันขอร้องเขาด้วยทุกสิ่งทุกอย่างฉันทำสัญญา แต่เขาปฏิเสธ ฉันอธิบายปัญหาของฉันกับเพื่อนของฉันและเธอบอกว่าฉันควรจะติดต่อล้อสะกดที่สามารถช่วยฉันโยนคาถาเพื่อนำเขากลับมา แต่ฉันเป็นประเภทที่ไม่เคยเชื่อในการสะกดฉันไม่มีทางเลือกกว่าที่จะลองฉัน ส่งคาถลลวงและเขาบอกผมว่าไม่มีปัญหาใด ๆ ที่ทุกอย่างจะเรียบร้อยก่อนสามวันที่อดีตของฉันจะกลับมาหาฉันก่อนสามวันเขาได้ให้การสะกดและในวันที่สองก็แปลกใจคือประมาณ 4 โมงเย็น อดีตของฉันเรียกฉันว่าฉันประหลาดใจมากฉันตอบสายและสิ่งที่เขาพูดก็คือเขาเสียใจมากสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการให้ฉันกลับไปเขาว่าเขารักฉันมาก ฉันมีความสุขมาก ๆ และไปหาเขานั่นคือสิ่งที่เราเริ่มใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาฉันได้สัญญาว่าใครที่ฉันรู้ว่ามีปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ฉันก็จะช่วยคนดังกล่าวโดยการแนะนำให้เขาเป็นครูผู้ชำเถียงในการสะกดเฉพาะที่แท้จริงและทรงพลังที่ช่วยฉันด้วยปัญหาของตัวเอง อีเมล์: drogunduspellcaster@gmail.com คุณสามารถส่งอีเมลถึงเขาได้หากคุณต้องการความช่วยเหลือในความสัมพันธ์หรือกรณีอื่น ๆ
ตอบลบ1) รักคาถา
2) Lost Love Spells
3) การหย่าร้าง
4) เวทมนตร์สมรส
5) มัดสะกด
6) คาถา Breakup
7) ขับไล่คนที่ผ่านมา
8. ) คุณต้องการได้รับการเลื่อนตำแหน่งในการสะกดของสำนักงาน / สลากกินแบ่งของคุณ
9) ต้องการที่จะตอบสนองความรักของคุณ
ติดต่อคนที่ยิ่งใหญ่นี้หากคุณมีปัญหาใด ๆ สำหรับโซลูชันที่ยั่งยืน
ผ่าน DR ODOGBO34@GMAIL.COM
ฉันไม่เคยคิดว่าจะหายจากโรคเริมอีกเลย ฉันเป็นโรคเริมตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว จนกระทั่งวันหนึ่งฉันได้ไปค้นคว้าทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งฉันเห็นคนให้การว่าหมอโอกาลาช่วยเขารักษาโรคเริมได้อย่างไร ยาสมุนไพรธรรมชาติของเขา ฉันประหลาดใจมากเมื่อเห็นคำให้การ และฉันต้องติดต่อแพทย์สมุนไพร (ดร.โอกาลา) ทางอีเมลซึ่งผู้หญิงคนนั้นแนะนำให้กับทุกคนที่อาจต้องการความช่วยเหลือด้วย ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่งกับชายผู้นี้เพราะเขาได้ฟื้นฟูสุขภาพและทำให้ข้าพเจ้ามีความสุขอีกครั้ง ใครก็ตามที่อาจประสบปัญหาเดียวกันโปรดติดต่อ Dr Ogala ทางอีเมล: ogalasolutiontemple@gmail.com หรือ WhatsApp +2349123794867
ตอบลบ